วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

International Lawmaking : Law of the Sea

International Lawmaking : Law of the Sea

การบัญญัติกฎหมายระหว่างประเทศ : กฎหมายทะเล

กฎเกณฑ์ทางกฎหมายระหว่างประเทศ ที่กำหนดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ทางทะเลของรัฐ กฎหมายทะเลซึ่งเป็นสาขาที่เก่าแก่ที่สุดของกฎหมายระหว่างประเทศนั้น ได้วิวัฒนาการมาจากจรรยาบรรณโบราณที่อิงอาศัยจารีตประเพณีในส่วนที่เกี่ยว ข้องกับสิทธิและหน้าที่ของพ่อค้าและเจ้าของเรือ บรรทัดฐานเดิมที่มีอยู่ก่อนกฎหมายทะเล ได้แก่ (1) กฎหมายโรเดียน (คริสตศตวรรษที่ 9) (2) ตาบูลา อมัลฟิตานา (คริสตศตวรรณที่ 11) (3) กฎหมายแห่งโอลีรอน (คริสตศตวรรษที่ 12) (4) กฎหมายวิสบี (คริสตศตวรรษที่ 13 และ 14) และ (5) คอนโตดาโตเดล แมเร (คริสตศตวรรษที่ 14) ที่มาของกฎหมายทะเลได้แก่ (1) จารีตประเพณีระหว่างประเทศ (2) การบัญญัติกฎหมายภายในชาติ (3) สนธิสัญญา และ (4) ผลงานของการประชุมระหว่างประเทศด้วยเรื่องเรื่องเหล่านี้

ความสำคัญ กฎหมายทะเลอิงหลักพื้นฐาน 2 หลัก คือ (1) หลักเสรีภาพของทุกรัฐที่จะใช้ทะเลหลวงโดยปราศจากการแทรกแซง และ (2) หลักความรับผิดชอบของแต่ละรัฐที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยทางทะเล แต่ละรัฐมีอำนาจศาลเหนือเรือของตนที่อยู่ภายในน่านน้ำอาณาเขตของตน เรือที่อยู่ในน่านน้ำอาณาเขตของรัฐต่างชาติยังคงอยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลของรัฐที่เรือนั้นติดธง เว้นเสียแต่ว่าเรือนั้นจะคุกคามความสงบและความเรียบร้อยของรัฏฐาธิปัตย์ชายฝั่ง การประชุมที่เจนีวาปี ค.ศ. 1958 (ยูเอ็นซีแอลโอเอส – วัน) และการประชุมที่เจนีวาปี ค.ศ. 1960 (ยูเอ็นซีแอลโอเอส – ทู) เป็นการเพิ่มเติมกฎหมายทะเลด้วยอนุสัญญาต่าง ๆ คือ (1) อนุสัญญาว่าด้วยการให้นิยามของเส้นฐานที่ใช้วัดทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง (2) อนุสัญญาว่าด้วยการสัญจรผ่านโดยบริสุทธิ์ (3) อนุสัญญาว่าด้วยการสำรวจอาหารและแร่ธาตุจากดินใต้ผิวดินของเขตไหล่ทวีปและ จากท้องทะเล และ (4) อนุสัญญาว่าด้วยการอนุรักษ์ชีวิตสัตว์และพืชในทะเล ส่วนการประชุมกฎหมายระหว่างประเทศระลอกใหม่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1973 ถึง 1982 (ยูเอ็นซีแอลโอเอส – ทรี) ได้มีข้อตกลงต่าง ๆ คือ (1) ข้อตกลงว่าด้วยเขตอำนาจศาลของชาติเหนือทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ (2) ข้อตกลงว่าด้วยสิทธิของรัฐชายฝั่งเหนือเขตเศรษกิจจำเพาะสองร้อยไมล์ (อีอีเอฟ) และ (3) ข้อตกลงว่าด้วยการสัญจรผ่าน สัญจรเหนือ หรือสัญจรใต้ช่องแคบที่ใช้สำหรับการสัญจรระหว่างประเทศ ส่วนเรื่องที่ยังตกลงกันไม่ได้ก็คือ เรื่องที่เกี่ยวกับลักษณะของการควบคุมเหนือการทำเหมืองแร่ในทะเลลึกและการ เข้าไปใช้ทรัพยากรทางทะเลในรูปแบบอื่น ๆ นอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะสองร้อยไมล์ ประเด็นที่ยังตกลงกับยังไม่ได้นี้ได้ผูกโยงไว้กับขอบเขตของอำนาจที่จะมอบให้ แก่องค์การท้องทะเลระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติที่ได้รับการเสนอให้จัดตั้ง ขึ้นมา ซึ่งองค์การฯ นี้จะทำหน้าที่ควบคุมการสำรวจและการเข้าไปใช้ทรัพยากรในทะเลลึก เมื่อสามารถบรรลุข้อตกลงในเรื่องสำคัญต่อไปนี้ได้แล้ว คือ (1) การลงคะแนนเสียง (2) การออกใบอนุญาต และ (3) การเก็บค่าภาคหลวง รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ไม่พอใจกับข้อกำหนดดังกล่าวจึงได้ปฏิเสธอนุสัญญาว่าด้วยกฎหมายทะเลแห่งสห ประชาชาติปี ค.ศ. 1982

Internatonal Lawmaking : War Crimes Trials

Internatonal Lawmaking : War Crimes Trials

การบัญญัติกฎมายระหว่างประเทศ : การพิจารณาคดีอาชญากรรมสงคราม

การพิจารณาคดีของบุคคลจากรัฐที่แพ้สงครามเพื่อกำหนดโทษและบทลงโทษของบุคคลไม่ ใช่ของชาติในฐานะที่ประกอบอาชญากรรมในระหว่างสงครามหรือในฐานะที่เป็นผู้ก่อ สงคราม สนธิสัญญาแวร์ซายส์หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้วางไว้เป็นบรรทัดฐานกำหนด ให้มีการพิจารณาคดีและทำการลงโทษจักรพรรดิเยอรมันและบุคคลในกองทัพเยอรมัน แต่ฝ่ายพันธมิตรมิได้ดำเนินการพิจารณาคดีแต่อย่างใด หลังสงครามโลกครั้งที่สองอาชญากรสงครามเยอรมันคนสำคัญจำนวน 22 คน ถูกศาลทหารระหว่างประเทศ พิจารณาคดีที่เมืองนูเรมเบิร์ก ซึ่งศาลทหารฯ คณะนี้ประกอบด้วยคณะลูกขุนจากอังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา จำเลยถูกกล่าวหาว่ามีความผิดฐาน (1) ประกอบอาชญากรรมต่อต้านสันติภาพ (2) ประกอบอาชญากรรมสงคราม และ (3) ประกอบอาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาติ จำเลย 12 คนถูกตัดสินให้ประหารชีวิต 7 คนได้รับโทษจำคุก ส่วนอีก 3 คนพ้นผิด ภายใต้กฏบัตรศาลทหารระหว่างประเทศสำหรับตะวันออกไกลนั้นมีอาชญากรสงคราม ญี่ปุ่นคนสำคัญ ๆ ถูกพิจารณาคดีในกรุงโตเกียวด้วยข้อหาทำนองเดียวกับที่นูเรมเบิร์ก โดยคณะลูกขุนที่เป็นตัวแทนของ 11 ประเทศที่ทำสงครามกับญี่ปุ่น

ความสำคัญ
การพิจารณาคดีอาชญากรสงครามที่นูเรมเบิร์กและที่โตเกียว เป็นการเปิดหน้าใหม่ในการพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสงคราม ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สองนั้นมีกฎหมายจารีต ประเพณีกำหนดไว้ว่า เมื่อสงครามยุติลงแล้วก็ให้ทำการนิรโทษกรรมแก่บุคคลที่เป็นศัตรูทั้งปวงซึ่ง ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับการรับราชการทหารของพวกเขาเสีย แต่จากความเหี้ยมโหดของสงครามเบ็ดเสร็จก็ดี และจากความเกลียดชังกันอย่างเข้ากระดูกดำอันเกิดจากความขัดแย้งทางด้าน อุดมการณ์ก็ดี ทำให้มีคนตั้งคำถามขึ้นว่าการให้นิรโทษกรรมนี้จะมีการนำกลับมาใช้กันอีกหรือ ไม่ปฏิกิริยาทางกฎหมายต่อการพิจราณาคดีที่นูเรมเบิร์กและที่โตเกียวมีแตกต่างกันไป การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการตัดสินคดีด้วยข้อหาว่าประกอบอาชาญกรรมสงคราม และข้อหาว่าประกอบอาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาตินั้นมีน้อย เนื่องจากมีกฎหมายจารีตประเพณีได้ให้การรับรองสิทธิของผู้ชนะให้สามารถ พิจารณาลงโทษบุคคลในกองทัพของศัตรูในโทษฐานละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศได้ แต่แนวความคิดที่ว่าจำเลยมีโทษฐานประกอบอาชญากรรมต่อต้านสันติภาพนั้นเป็น การเปิดข้อกล่าวหาใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้ ได้มีการยกประเด็นปัญหาทางกฎหมายขึ้นมาถามในส่วนที่เกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่า ประกอบอาชญากรรมต่อต้านสันติภาพดังนี้ (1) เราจะสามารถแสดงข้อแตกต่างระหว่างสงครามรุกรานที่ถือว่าเป็นอาชญากรรม กับอาชญากรรมที่กระทำในช่วงที่เกิดสงครามได้อย่างกระจ่างชัดหรือไม่ (2) กติกาสัญญาเคลลอกก์–บริอังด์ ที่ทำให้สงครามรุกรานเป็นสิ่งผิดกฎหมายนั้นมีความหมายบ่งบอกให้บุคคลต้องรับ ผิดชอบในอาชญากรรมด้วยใช่หรือไม่ (3) ข้อแตกต่างระหว่างสงครามรุกรานกับสงครามป้องกันตัวมีความกระจ่างชัดพอที่จะ นำมาใช้ประเมินความรับผิดชอบทางด้านอาชญากรรมของบุคคลได้หรือไม่ และ (4) ศาลที่เมืองนูเรมเบิร์กซึ่งประกอบด้วยคณะลูกขุนจากแค่ 4 รัฐเท่านั้น จะถือว่าเป็นศาลระหว่างประเทศที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาคมโลกได้หรือ ไม่ สหประชาชาติได้พยายามหาทางสร้างความถูกต้องทางกฎหมายให้แก่หลักการที่ว่า บุคคลจะต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่ใช้เป็นรากฐานสำหรับพิจารณาคดี อาชญากรรมสงคราม โดยการพัฒนาหลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยอาชญากรรมต่อต้านสันติภาพและต่อ ต้านความมั่นคงของมนุษยชาติขึ้นมา สมัชชาใหญ่ได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศ (ไอแอลซี) ทำการตระเตรียมร่างหลักการนี้ แต่ปัญหาการพัฒนาคำนิยามของคำว่า “การรุกราน” ให้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปก็ได้มาเป็นตัวสกัดกั้นมิให้กระบวนการในเรื่องนี้ คือหน้าต่อไปได้

Jurisdiction

Jurisdiction

เขตอำนาจ

สิทธิของรัฐหรือของศาลที่จะพูดหรือกระทำด้วยอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมาย เขตอำนาจตามกฎหมายจะเกี่ยวข้องกับการอ้างสิทธิเข้าควบคุมบุคคล ทรัพย์สิน คนในบังคับ และสถานการณ์ ในอาณาเขตทางกฎหมาย ทางการเมือง และทางภูมิศาสตร์ ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศนั้นเขตอำนาจตามกฎหมายเหนือดินแดนสามารถได้มาโดย วิธี (1) แผ่นดินงอก (2) การยกให้ (3) การพิชิต (4) การค้นพบ และ (5) การครอบครองมาเป็นเวลานาน

ความสำคัญ ในโลกซึ่งประกอบด้วยรัฐที่มีเอกราชและอำนาจอธิปไตยจำนวนมากกว่า 180 ชาตินี้ ก็ย่อมจะมีปัญหาของเขตอำนาจตามกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องในรูปแบบของการขัดแย้ง ระหว่างประเทศ การเจรจากัน และการอนุญาตโตตุลาการ การขัดแย้งเกี่ยวกับเขตอำนาจทางกฎหมายระหว่างรัฐมักจะเกี่ยวกับข้องกับ เรื่องต่อไปนี้ (1) ความเป็นพลเมือง (2) เส้นพรมแดน (3) น่านฟ้า (4) ทะเลหลวง (5) สิทธิในการประมง (6) น่านน้ำอาณาเขต (7) การผ่านโดยบริสุทธิ์ และ (8) อวกาศ

Jurisdiction : Accretion

Jurisdiction : Accretion

เขตอำนาจ :ดินแดนงอก

ดินแดนที่ได้เพิ่มขึ้นมาโดยการทับถมของวัตถุใน แม่น้ำหรือในทะเล ซึ่งอาจตกเป็นของรัฐผืนแผ่นดินใหญ่หรือรัฐชายฝั่งก็ได้ หลักการได้ดินแดนงอก กล่าวคือ ดินแดนที่เพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติจากดินแดนเดิมให้มาอยู่ภายใต้เขตอำนาจตาม กฎหมายเดียวกันนี้ เป็นหลักการที่มีมาตั้งแต่ยุคกฎหมายโรมันจากผลงานของฮูโก กรอติอุส สิ่งที่เพิ่มมาว่านี้อาจจะงอกขึ้นตามฝั่งแม่น้ำหรือฝั่งมหาสมุทรหรืออาจจะ เป็นเกาะแก่งหรือดินดอนปากแม่น้ำก็ได้

ความสำคัญ การได้ดินแดนเพิ่มโดยการงอกของแผ่นดินนี้ อาจสร้างปัญหาทางการเมืองและทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับเขตอำนาจของกฎหมายเหนือดินแดนได้ ปัญหาเหล่านี้อาจจะหมายถึงการเกิดเกาะในแม่น้ำที่ใช้เป็นเส้นพรมแดนระหว่าง ประเทศ หรือเกิดเกาะหรือดินดอนสามเหลี่ยมในเส้นแนวชายฝั่ง ซึ่งเป็นการขยายน่านน้ำอาณาเขตของรัฐออกไปในมหาสมุทรมากขึ้น

Jurisdiction , Admiralty

Jurisdiction , Admiralty

เขตอำนาจเหนือกิจการพาณิชยนาวี

อำนาจหน้าที่ของรัฐเหนือกิจการพาณิช ยนาวี เขตอำนาจเหนือกิจการพาณิชยนาวีเป็นเขตที่ต้องใช้เทคนิคทางนิติศาสตร์ในระดับ สูงซึ่งมีอยู่ในกฎหมายภายใน จะเกี่ยวกับเรื่องการพาณิชย์และการเดินเรือทางทะเล ตลอดจนการควบคุมเรื่องดังกล่าว กฎหมายการพาณิชยนาวีจะกล่าวถึงเรื่องต่อไปนี้ คือ (1) เขตอำนาจเหนือเรือ เหนือท่าเรือ เหนือกลาสี และเหนือน่านน้ำอาณาเขต (2) การฟ้องร้องทางแพ่งและทางอาญา (3) ทรัพย์ส่วนที่เป็นเรือและส่วนที่เป็นสินค้า (4) การขนส่งผู้โดยสาร (5) สิทธิของสมาชิกลูกเรือ และ (6) การควบคุมดูแลความปลอดภัย

ความสำคัญ เนื่องจากรัฐมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและการค้ากับการพาณิชย์ก็มีความสำคัญเพิ่ม มากขึ้นสำหรับรัฐต่าง ๆ เหล่านี้ ดังนั้นจึงก่อให้เกิดกฎเกณฑ์และข้อบังคับระหว่างประเทศมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก มาย เมื่อกฎเกณฑ์และข้อบังคับระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นมามากเช่นนี้แล้วรัฐต่าง ๆ ให้การรับรองถึงความจำเป็นว่าจะต้องมีแนวทางปฏิบัติเป็นอย่างเดียวกันมาก ขึ้น ความพยายามที่จะสร้างหลักปฏิบัติให้เป็นแบบเดียวกับของกฎหมายพาณิชยนาวีโดย สนธิสัญญาและการออกกฎหมายลูกต่าง ๆ ได้ประสบความสำเร็จมากพอสมควรในด้านต่าง ๆ คือ (1) ด้านการควบคุมสุขลักษณะ (2) ด้านการกู้ภัยและการให้ความช่วยเหลือ (3) ด้านการโดนกันของเรือ (4) ด้านความปลอดภัยทางทะเล (5) ด้านเส้นขีดเครื่องหมายแนวบรรทุกเต็มที่ (6) ด้านการใช้ท่าเรือพาณิชยนาวี (7) ด้านการประมงในทะเลหลวง และ (8) ด้านทะเลอาณาเขต แต่ถ้าหากไม่มีสนธิสัญญาต่าง ๆ ดังกล่าว เขตอำนาจเหนือการพาณิชยนาวีก็จะถูกกำหนดโดยกฎหมายภายในของรัฐต่าง ๆ

Jurisdiction : Airspace

Jurisdiction : Airspace

เขตอำนาจ : น่านฟ้า

อำนาจอธิปไตยของรัฐเหนือน่านฟ้าที่อยู่เหนือดิน แดนของตน เขตอำนาจเหนือน่านฟ้าของชาตินี้ได้รับการรับรองจากอนุสัญญาชิคาโกว่าด้วยการ บินพลเรือนระหว่างประเทศ (ค.ศ. 1944) แต่ก็ถูกจำกัดโดยสนธิสัญญาทวิภาคี และพหุภาคีที่รัฐอาจจะเป็นภาคีได้ การประชุมที่ชิคาโกได้ทำการจัดตั้งองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอซีเอโอ) ขึ้นมาเพื่อให้เป็นไปตามหลักการของอนุสัญญาและพัฒนาหลักเกณฑ์การสัญจรทาง อากาศระหว่างประเทศ เสรีภาพของการสัญจรทางอากาศอันเป็นหลักการทั่วไปมีอยู่เฉพาะเหนือทะเลหลวง และเหนือผิวโลกเฉพาะส่วนที่มิได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐใด ๆ เช่น ทวีปแอนตาร์กติกา เป็นต้น เครื่องบินของทางการทหารและของรัฐอื่น ๆ ถือว่ามิใช่ยานพาหนะปกตินั้น จะต้องได้รับมอบอำนาจพิเศษก่อนจึงจะใช้น่านฟ้าของรัฐอื่นได้

ความสำคัญ เขตอำนาจเหนือน่านฟ้าแห่งชาติเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นเพราะ เทคโนโลยีได้ทำให้การพาณิชย์ทางอากาศทำได้อย่างรวดเร็วและทำได้ในปริมาณที่ เพิ่มมากยิ่งขึ้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขตอำนาจเหนือน่านฟ้าแห่งชาติมี 2 ทฤษฎี คือ (1) ทฤษฎีที่ให้เสรีภาพในการสัญจรทางอากาศ และ (2) ทฤษฎีที่ให้รัฐชาติทำการควบคุมการสัญจรทางอากาศ เมื่อได้มีการประดิษฐ์เครื่องบินทิ้งระเบิดและมีเครื่องตรวจจับทางอากาศที่ มีประสิทธิผลขึ้นมาแล้ว จึงได้มีการยอมรับกันโดยทั่วไปให้รัฐชาติทำการควบคุมการสัญจรทางอากาศนี้ แต่การพัฒนาทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้น มาทำให้เกิดปัญหาทางด้านปฏิบัติว่าอำนาจอธิปไตยของชาติเหนือน่านฟ้านี้จะให้ เหนือขึ้นไปไกลได้ขนาดใด เมื่อมีการส่งจรวด อาวุธปล่อย ดาวเทียม และยานอวกาศไปกลับโลกได้แล้ว ก็เป็นการเปิดศักราชใหม่ให้มีการเจรจาเพื่อพัฒนากฎหมายว่าด้วยอวกาศระหว่างประเทศ

Jurisdiction : Annexation

Jurisdiction : Annexation

เขตอำนาจ : การผนวกดินแดน

การได้ดินแดนเพิ่มโดยการประกาศของรัฐที่ได้ดินแดนว่า ตนได้ขยายอำนาจอธิปไตยและจะใช้เขตอำนาจศาลเหนือพื้นที่ที่ผนวกเข้ามานั้น

ความสำคัญ การขยายอำนาจอธิปไตยโดยการผนวกดินแดนนี้ อาจจะใช้ข้ออ้างต่าง ๆ เช่น (1) เป็นดินแดนที่ตนค้นพบเอง (2) เป็นดินแดนในความยึดครองของตนเอง หรือ (3) เป็นดินแดนที่ตนเองเข้าครอบครองมานานอย่างต่อเนื่อง เมื่อปี ค.ศ. 1938 ประเทศเยอรมนีประกาศผนวกประเทศออสเตรียโดยอ้างถึงพฤติกรรมของรัฐบาลออสเตรีย ว่าเป็นเหตุให้ต้องทำการเปลี่ยนแปลงออสเตรียมาเป็นรัฐหนึ่งของอาณาจักรไรช์ ของเยอรมัน การผนวกดินแดนอาจจะไม่ได้รับการต่อต้านจากฝ่ายที่สามก็ได้ ตัวอย่างเช่น กรณีของการผนวกเกาะแจนมาเยินโดยนอร์เวย์เมื่อปี ค.ศ. 1920 แต่การประกาศผนวกดินแดนอาจได้รับการประท้วงและอ้างสิทธิ์แย้งขึ้นมาได้ ตัวอย่างเช่น กรณีเกี่ยวกับสถานภาพทางกฎหมายของกรีนแลนด์ตะวันออกเมื่อปี ค.ศ. 1933 ซึ่งในกรณีนี้ผู้อ้างสิทธ์ทั้งสองฝ่ายคือเดนมาร์กและนอร์เวย์ได้นำเรื่อง เสนอให้ ศาลยุติธรรมถาวรระหว่างประเทศได้พิจารณา ซึ่งศาลฯ ได้ตัดสินให้ฝ่ายเดนมาร์กเป็นผู้ชนะคดี

Jurisdiction : Avulsion

Jurisdiction : Avulsion

เขตอำนาจ : การเปลี่ยนแปลงของที่ดินโดยกระแสน้ำ


กฎเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยที่ตั้งของเส้นพรมแดนระหว่างประเทศระหว่างสองรัฐ ที่มีแม่น้ำคั่นอยู่ตรงกลาง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของร่องน้ำลึกโดยฉับพลัน ภายใต้กฎเกณฑ์ของการเปลี่ยนแปลงที่ดินโดยกระแสน้ำนั้น ให้ถือว่าเส้นเขตแดนยังอยู่ที่เดิมต่อไป

ความสำคัญ การเปลี่ยนแปลงร่องน้ำอย่างฉับพลันอาจจะทำให้ต้องสูญเสียดินแดนไปเป็นจำนวน มากเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการถูกกระแสน้ำกัดเซาะและเกิดการงอกของแผ่นดินซึ่งเป็นไปอย่างช้า ๆ หากไม่มีกฎเกณฑ์กำหนดไว้เช่นนี้แล้วก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหารุนแรงระหว่างประเทศได้ ยกตัวอย่างเช่น ข้อพิพาทเรื่องร่องน้ำชามิซาลระหว่างสหรัฐอเมริกากับเม็กซิโก เมื่อปี ค.ศ. 1864 แม่น้ำริโอแกรนด์เกิดเปลี่ยนแปลงทางเดินอย่างฉับพลัน ทำให้เกิดปัญหาเรื่องเขตอำนาจเหนือดินแดนระหว่างร่องน้ำเก่ากับร่องน้ำใหม่ ปัญหานี้ยืดเยื้อมานานจึงแก้ได้สำเร็จเมื่อปี ค.ศ. 1967

Jurisdiction : Cession

Jurisdiction : Cession

เขตอำนาจ : ดินแดนที่ได้มาโดยการโอน

การโอนอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน โดยมีข้อตกลงระหว่างรัฐผู้โอนกับรัฐผู้รับโอน ดินแดนที่ได้มาโดยการโอนนี้ อาจจะหมายถึงการโอนดินแดนทั้งหมด หรือโอนให้เพราะส่วนหนึ่งของดินแดนทั้งหมดของรัฐผู้โอนก็ได้ ถ้าเป็นกรณีโอนดินแดนให้ทั้งหมด รัฐผู้โอนก็จะสิ้นสูญไปเพราะถูกผนวกเข้าไปอยู่ในรัฐผู้โอนนั่นแล้ว ยกตัวอย่างเช่น เกาหลีได้กลายเป็นดินแดนของญี่ปุ่นโดยสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1910

ความสำคัญ สนธิสัญญาการโอนดินแดน (1) จะสร้างความชอบธรรมให้แก่ดินแดนที่ได้มาจากการโอนอำนาจอธิปไตยอย่างเป็นทาง การแล้วนั้น (2) จะบอกถึงรูปพรรณสัณฐานของดินแดนที่ได้มานั้น และ (3) จะมีการระบุถึงเงื่อนไขของการโอนไว้ด้วยความถูกต้องตามกฎหมายของการโอนดินแดนนี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องได้รับความยินยอม จากประชาชนของดินแดนที่ถูกโอนนั้นก็ได้ แต่เมื่อดูจากหลักการ “การกำหนดการปกครองด้วยตนเอง” ก็ทำให้มีความรู้สึกคล้ายกับว่าการโอนดินแดนจะถูกต้องตามกฎหมายได้นั้นจะ ต้องให้ประชาชนให้ความยินยอมเสียก่อน การโอนดินแดนอาจกระทำโดยความสมัครใจ ตัวอย่าง คือ การซื้อดินแดนหลุยเซียนา (สหรัฐอเมริกา) หรืออาจจะกระทำโดยความไม่สมัครใจ เช่น กรณีที่ถูกบังคับโดยบทบัญญัติของสนธิสัญญาสันติภาพ เป็นต้น

Jurisdiction : Condominium

Jurisdiction : Condominium

เขตอำนาจ : ดินแดนใต้การปกครองร่วม

ดินแดนยังต้องพึ่งพิงรัฐอื่น ที่ถูกปกครองร่วมกันโดยองค์อธิปัตย์ 2 องค์หรือมีมากกว่า ในดินแดนใต้การปกครองร่วมนี้จะมีการนำระบบกฎหมายของสองรัฐนั้นมาใช้ควบคุมเคียงคู่กันไป และเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาเรื่องเขตอำนาจก็จะมีการระบุไว้ในข้อตกลง ระหว่างสององค์อธิปัตย์นั้น ตัวอย่างของดินแดนใต้การปกครองร่วม ได้แก่ ซูดาน (ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ค.ศ. 1914) เกาะแคนตัน และเกาะเอนเดอร์เบอรี (ระหว่างอังกฤษกับสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1938)

ความสำคัญ ในดินแดนใต้การปกครองร่วม จะไม่มีองค์อธิปัตย์ภายนอกใดมีเขตอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว และอำนาจอธิปไตยก็มิได้อยู่กับประชาชนที่พำนักอยู่ในดินแดนดังกล่าวด้วย ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและในกฎหมายระหว่างประเทศนั้น ดินแดนใต้การปกครองร่วมในฐานะที่เป็นรูปแบบหนึ่งของเขตอำนาจเหนือดินแดนนั้น เป็นปรากฎการณ์ที่นานทีจะมีสักหน การที่อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา เข้าควบคุมเยอรมนีในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ไม่ถือว่าเยอรมนีเป็นดินแดนใต้การปกครองร่วม แต่เป็นการถูกยึดครองทางทหารในรูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Jurisdiction : Contiguous Zone

เขตอำนาจ : เขตต่อเนื่อง

พื้นที่นอกน่านน้ำอาณาเขตที่รัฐชายฝั่งยังคงมีอิสระที่จะไปบังคับให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายของตนได้ ขอบเขตของเขตต่อเนื่องและเขตอำนาจของรัฐชายฝั่งมีการนิยามไว้ในข้อ 24 ของอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง (ค.ศ. 1958) ความว่าดังนี้ : “(1) ในเขตทะเลหลวงซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตของตน รัฐชายฝั่งอาจดำเนินการควบคุมตามที่จำเป็นเพื่อ (ก) ป้องกันการละเมิดข้อบังคับเกี่ยวกับการศุลกากร รัษฎากร การเข้าเมือง หรือการอนามัย ภายในอาณาเขตหรือทะเลอาณาเขตของตน และ (ข) ลงโทษการละเมิดข้อบังคับข้างต้นซึ่งได้กระทำภายในอาณาเขตหรือทะเลอาณาเขตของตน และ (2) เขตต่อเนื่องมิอาจจะขยายเกินกว่าสิบสองไมล์นับจากเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต


ความสำคัญ แนวความคิดเรื่องเขตต่อเนื่องบ่งบอกถึงความมีอยู่ของพื้นที่พิเศษแห่งหนึ่งของทะเลหลวงที่รัฐชายฝั่งไม่อาจอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือได้ แต่เป็นที่ซึ่งอาจใช้เขตอำนาจเพื่อวัตถุประสงค์ที่จำกัดบางอย่างได้ เช่น เพื่อบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการศุลกากร เป็นต้น ทุกรัฐต่างให้การรับรองว่ารัฐชายฝั่งมีเขตอำนาจเหนือน่านน้ำอาณาเขตอย่างน้อยสามไมล์ แต่นอกเหนือจากน่านน้ำอาณาเขตนี้แล้ว ตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาสามารถตกลงกันไม่ค่อยจะได้เกี่ยวกับขอบเขตของเขตอำนาจของแต่ละรัฐ รัฐต่าง ๆ ก็จึงอ้างเขตอำนาจที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น อังกฤษ และสหรัฐอเมริกาอ้างสิทธิ์ตามประเพณีนิยมที่จะขยายเขตอำนาจที่จำกัดนี้ไปถึงเขตเกินสิบสองไมล์จากชายฝั่งทะเลของตน อย่างไรก็ตามแนวความคิดในเรื่องเขตต่อเนื่องนี้ในที่สุดก็ได้รับการยอมรับในการอภิปรายของคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศ (ไอแอลซี) และในที่ประชุมเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศในปี ค.ศ. 1964
สำหรับประเทศผู้ลงนามที่ได้ให้สัตยาบันในอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเข

Jurisdiction , Domestic

เขตอำนาจภายในของรัฐ

กิจการดำเนินชีวิตภายในของรัฐที่ถูกควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยกฎหมายภายในของรัฐ จะไม่ยอมให้กฎหมายระหว่างประเทศเข้ามาควบคุมได้ เขตอำนาจภายในของรัฐก็จึงเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของอำนาจอธิปไตยของชาติ ในข้อ 2 ของกฎบัตรสหประชาชาติได้กำหนดไว้ว่าไม่มีข้อความใดในกฎบัตรปัจจุบันจะให้อำนาจสหประชาชาติเข้าแทรกแซงในเรื่องโดยสาระสำคัญแล้วตกอยู่ในเขตอำนาจภายในของรัฐ หรือจะเรียกร้องสมาชิกให้ต้องเสนอเรื่องเช่นว่าเพื่อจัดระงับตามกฎบัตรปัจจุบัน

ความสำคัญ จากแนวความคิดเรื่องเขตอำนาจภายในของรัฐนี้ เป็นการบ่งบอกว่า กฎหมายระหว่างประเทศมิได้เป็นกฎหมายสากล หากแต่เป็นกฎหมายที่มีข้อจำกัดในการใช้เฉพาะกับเรื่องต่าง ๆ ที่ได้รับการยอมรับโดยรัฐอธิปไตยทั้งหลายที่ประกอบเป็นประชาคมระหว่างประเทศเท่านั้น ในการกำหนดเขตแดนระหว่างเขตอำนาจภายในของรัฐกับเขตอำนาจระหว่างประเทศ ก็จะเกิดปัญหาในเรื่องการตีความ ปัญหาที่ยากจะตกลงกันได้อย่างหนึ่ง ก็คือ ปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชน และเรื่องปัญหาการกำหนดการปกครองด้วยตนเอง ในกรณีที่สหรัฐอเมริกาให้การยอมรับเขตอำนาจโดยการบังคับของศาลยุติธรรม ระหว่างประเทศนั้น ปัญหาทางปฏิบัติที่ว่าใครจะเป็นผู้ตัดสินว่าอะไรคือเขตอำนาจภายในของรัฐนั้น ได้ถูกกำหนดไว้โดยคอนแนลลี อะเมนด์เม้นท์ ว่าให้รัฐชาติภายในเองเป็นฝ่ายตัดสินในเรื่องนี้

Jurisdiction :Extradition

เขตอำนาจ : การส่งผู้ร้ายข้ามแดน

วิธีดำเนินการให้มีการส่งมอบผู้หลบหนีคดีอาญาข้ามรัฐที่พบตัวในรัฐหนึ่งให้แก่รัฐที่การละเมิดกฎหมายบังเกิดขึ้น การส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะเริ่มต้นด้วยการเรียกร้องอย่างเป็นทางการจากรัฐหนึ่งไปสู่อีกรัฐหนึ่ง และจะเป็นไปตามพันธกรณีตามที่ได้กำหนดไว้เป็นการเฉพาะในสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างรัฐ

ความสำคัญ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐหนึ่งจะเข้าไปจับกุมผู้หลบหนีคดีอาญาข้ามรัฐไปอยู่ในเขตอำนาจของอีกรัฐหนึ่งโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐหลังนั้น ถือว่าเป็นการละเมิดเอกราชและอธิปไตยอย่างร้ายแรง อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีผลประโยชน์ร่วมกันในการใช้ความยุติธรรมและในการรักษาความสงบสงบเรียบร้อยนี้ ก็จึงทำให้รัฐต่าง ๆ ให้ความร่วมมือในการส่งมอบผู้หลบหนีคดีอาญาข้ามรัฐระหว่างกัน ความร่วมมือดังกล่าวจะอิงอาศัยรากฐานของข้อตกลงที่ร่างอย่างพิถีพิถัน โดยจะมีการกำหนดเงื่อนไขและรายการความผิดต่าง ๆ ที่จะให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน แต่โดยปกติแล้วอาชญากรรมทางการเมืองจะไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นความผิดที่จะให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน และรัฐต่าง ๆ ก็จะไม่ยอมส่งมอบพลเมืองของตนให้ไปรับการพิจารณาคดีในรัฐอื่น การส่งผู้ร้ายข้ามแดนส่วนใหญ่จะดำเนินการให้เป็นไปตามสนธิสัญญาระดับทวิภาคี ซึ่งจะก่อให้เกิดเครือข่ายของกฎหมายที่ยุ่งเหยิงสลับซับซ้อนที่ทำให้ง่ายได้ยาก จนกว่ารัฐจะตกลงยึดกฎเกณฑ์ในรูปแบบเดียวกันได้แล้วเท่านั้น

Jurisdiction : Extratersitoialtiy

เขตอำนาจ : สภาพนอกอาณาเขต

การที่รัฐหนึ่งใช้เขตอำนาจของตนในดินแดนของอีกรัฐหนึ่ง สภาพนอกอาณาเขตจะถูกกำหนดโดยสนธิสัญญา ซึ่งจะมีการระบุถึงบุคคล สาระ และระดับที่เขตอำนาจในท้องถิ่นไม่สามารถนำมาใช้กับพลเมืองของคู่สนธิสัญญาได้ สภาพนอกอาณาเขตเคยมีตัวอย่างมาตั้งแต่ในสมัยก่อนที่จะมีระบบรัฐในปัจจุบันนี้แล้ว การให้สิทธิพิเศษในแบบที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า แคปปิตุเลชั่นเป็นสภาพนอกอาณาเขตรูปแบบหนึ่ง ที่กำหนดให้สิทธิพิเศษบางอย่างแก่ชาวคริสต์ในประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองของชาวมุสลิม

ความสำคัญ สภาพนอกอาณาเขตนี้ ข้างรัฐที่มีอำนาจมากมักจะนำไปใช้กับรัฐที่อ่อนแอในระหว่างยุคจักรวรรดินิยม และยุคล่าอาณานิคมตะวันตก วัตถุประสงค์ของสภาพนอกอาณาเขต ก็คือ เพื่อปกป้องพลเมืองของรัฐที่มีอำนาจมากในที่ซึ่งวัฒนธรรมและระบบกฎหมายของทั้งสองรัฐมีความแตกต่างกันมาก ๆ เช่น ระหว่างหมู่ประเทศตะวันตกกับหมู่ประเทศในตะวันออกใกล้และตะวันออกไกล มีบ่อยครั้งที่สภาพนอกอาณาเขตนี้มีความหมายว่า ชาวต่างชาติที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดทางอาญาถูกพิจารณาดคีภายใต้กฎหมาย และคณะลูกขุนของชาติตนยิ่งกว่าจะให้พิจารณาคดีโดยใช้กฎหมายของสถานที่นั้น สนธิสัญญาสภาพนอกอาณาเขต ซึ่งโดยปกติจะไม่ใช่สนธิสัญญาต่างตอบแทน ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงว่ามีลักษณะไปจำกัดอำนาจอธิปไตยที่ไม่เท่าเทียมกันจนเดี๋ยวได้สูญหายไปหมดแล้ว อย่างไรก็ตามสภาพนอกอาณาเขตในความหมายพิเศษยังคงมีอยู่ในกรณีของนักการทูต คือ พวกนักการทูตจะปลอดพ้นจากกระบวนการทางกฎหมายในประเทศเจ้าบ้านที่ตนไปประจำอยู่นั้น และในกรณีที่เกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาว่าด้วย สถานภาพของกองกำลังที่ให้สิทธิและหน้าที่แก่กองทัพของประเทศหนึ่งที่เข้าไปตั้งอยู่ในดินแดนของอีกประเทศหนึ่ง

Jurisdiction :High Seas

เขตอำนาจ : ทะเลหลวง

มหาสมุทร ทะเล ทะเลสาขา อ่าวเล็ก อ่าวใหญ่ ทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งอยู่ภายนอกน่านน้ำอาณาเขตของรัฐชายฝั่งทะเลหลวง เปิดให้แก่ทุกประเทศได้ใช้ประโยชน์ทางด้านการพาณิชย์และการเดินเรือ รัฐอาจจะขยายเขตอำนาจไปยังเรือที่ชักธงของตนในทะเลหลวงได้ แต่จะขยายเขตอำนาจไปยังทะเลหลวงโดยตรงไม่ได้

ความสำคัญ ภายใต้อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยทะเลหลวงปี ค.ศ. 1958 ได้กำหนดไว้ว่าไม่มีรัฐใดอาจอ้างสิทธิที่จะทำให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของทะเลหลวงตกอยู่ในอธิปไตยของตนได้ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศนั้น ทุกรัฐมีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะเข้าไปใช้ทะเลหลวงทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น (1) ในการประมง (2) ในการวางสายและท่อใต้น้ำ และ (3) ในการใช้เครื่องบินบินเหนือ อย่างไรก็ตามในการใช้เสรีภาพในทะเลหลวงของรัฐต่าง ๆ มีเงื่อนไขทั่วไปกำหนดไว้ว่ารัฐจะต้องใช้โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของรัฐอื่นที่ใช้เสรีภาพแห่งทะเลหลวงนั้นด้วย

Jurisdiction : Hot Pursuit

เขตอำนาจ : การไล่ตามติดพัน

หลักกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ยินยอมให้ไล่ติดตามเรือหรือเครื่องบินที่สงสัยว่าฝ่าฝืนกฎหมายภายในในเขตอำนาจเหนือดินแดนภายในของรัฐ เข้าไปในทะเลหลวงหรือเหนือทะเลหลวงได้ กฎหมายระหว่างประเทศบัญญัติไว้ว่า การไล่ติดพันจะต้อง (1) เริ่มในเขตอำนาจของรัฐผู้เสียหาย (2) ดำเนินการไล่ติดตามโดยเรือรบหรือเครื่องบินรบขององค์อธิปัตย์เหนือดินแดนนั้น (3) ดำเนินไปจนกระทั่งสามารถจับกุมเรือที่ถูกไล่ตามนั้นได้ หรือ (4) สิ้นสุดลงเมื่อเรือซึ่งถูกไล่ติดตามนั้นเข้าสู่น่านน้ำอาณาเขตของรัฐอื่น

ความสำคัญ แนวความคิดเรื่องการไล่ตามติดพันนี้ บ่งบอกให้เราได้เห็นว่า เรือที่ละเมิดกฎหมายภายในของรัฐแล้วไม่สามารถรอดพ้นจากผลการกระทำของตนเพียงแต่หนีออกจากพื้นที่ที่กระทำผิดเข้าไปในทะเลหลวง ซึ่งโดยกฎหมายระหว่างประเทศกำหนดไว้ว่าไม่ได้เป็นของรัฐใด แต่หากการสงสัยของรัฐผู้จับกุมสามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่มีมูล รัฐผู้จับกุมนั้นก็จะต้องชดใช้ค่าเสียหาย หลักการนี้ในกฎหมายระหว่างประเทศเห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องมีไว้เพื่อจะได้สามารถใช้เขตอำนาจเหนือดินแดนได้อย่างมีประสิทธิผล

บทความที่ได้รับความนิยม